Wednesday, 1 August 2012
Star Trek สตาร์ เทรค สงครามพิฆาตจักรวาล
Star Trek สตาร์ เทรค สงครามพิฆาตจักรวาล เรื่องราวเกี่ยวกับ เจมส์ ที. เคิร์ก และ มิสเตอร์สป็อค ในวัยหนุ่ม การพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ใน สตาร์ฟลีท อะคาเดมี่ รวมถึงการออกปฏิบัติภารกิจครั้งแรกที่ต้องเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนย่างกรายเข้าไปมาก่อน! ชะตากรรมของแกแล็คซี่ตกอยู่ในกำมือของเด็กหนุ่มจากสองโลกที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนแรกคือ เจมส์ ไทบีเรียส เคิร์ก (คริส ไพน์) เด็กหนุ่มหัวรั้นจากไอโอว่าผู้รักความสนุกตื่นเต้น ซึ่งมีความเป็นผู้นำอยู่ในสายเลือด อีกคนก็คือ สป็อค (แซ็คคารี่ ควินโต้) ผู้เติบโตมาบนดาววัลแคนสถานที่ซึ่งปลูกฝั่งให้ดำเนินชีวิตด้วยหลักเหตุผลและปฏิเสธการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยอารมณ์ อย่างไรก็ตาม สป็อค ถูกมองเป็นแกะดำในสังคมเพราะชาติพันธุ์ที่เขาเกิดเป็นลูกครึ่งมนุษย์ แต่ด้วยความทุ่มเทและตั้งมั่น บวกกับความเฉลียวฉลาดที่มีอยู่ในตัว ทำให้เขากลายเป็นชาววัลแคนคนแรกที่สามารถเข้าเรียนในสถาบันสตาร์ฟลีทได้ สำเร็จ แม้ว่า เคิร์ก และ สป็อค จะมีนิสัยแตกต่างกันเหมือนหยินกับหยาง แม้คนหนึ่งจะดำเนินชีวิตด้วยอารมณ์ ส่วนอีกคนทำทุกอย่างด้วยเหตุผล ถึงแม้ว่าพวกจะเป็นคู่กัดที่คอยชิงดีชิงเด่นกันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็มีความใฝ่ฝันสูงสุดเหมือนกัน นั่นก็คือ การได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมทีมลูกเรือของยาน ยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ยานอวกาศที่ก้าวล้ำยุคที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมา ซึ่งอยู่ภายใต้การนำทีมของกัปตัน คริสโตเฟอร์ ไพค์ (บรูซ กรีนวู้ด) และลูกเรือคนอื่นๆ ซึ่งประกอบไปด้วย เด็กอัจฉริยะวัย 17 ปีอย่าง เชคอฟ (อันตวน เยลชิน), เจ้าหน้าที่แพทย์ประจำยาน เลนนาร์ด “โบนส์” แม็คคอย (คาร์ล เออร์แบน), หัวหน้าทีมวิศวกรรมของยาน มอนต์โกเมอรี่ สก็อตต์ (ไซม่อน เป็กก์), เจ้าหน้าที่สื่อสาร อูฮูร่า (โซอี้ ซัลดาน่า), และ นายท้ายยานผู้มีประสบการณ์สูงอย่าง ซูลู (จอห์น โช) ปฏิบัติภารกิจครั้งนี้จะทำให้พวกเขาได้พบกับบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ มีทั้งความเจ็บปวด, มิตรภาพ, ความกล้าหาญ และความน่าประทับใจ ที่จะทำให้ทุกคนจดจำไปตลอดกาล นี่คือหนัง Star Trek เวอร์ชั่นล่าสุดที่ถูกนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง (หลังจากภาค Nemesis ขึ้นจอใหญ่ไปเมื่อปี 2002) โดยผู้กำกับ เจ เจ เอแบรมส์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซีรี่ส์ยอดฮิตอย่าง Alias และ Lost อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการทำให้ Cloverfield กลายเป็นหนังสัตว์ประหลาดบุกโลกแนวใหม่ และเคยกำกับพระเอกระดับซูเปอร์สตาร์อย่างทอม ครูซ ใน Mission Impossible : 3 มาแล้วอีกด้วย นับตั้งแต่ จีน ร็อดเดนเบอร์รี่ ได้สร้างสรรค์เรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน Star Trek กลายเป็นซีรีส์ออกฉายทางทีวีมาแล้ว 6 ครั้ง และถูกทำเป็นภาพยนตร์มาแล้วถึง 10 เรื่อง ในส่วนของหนังใหญ่ ถ้าจำไม่ผิด เวอร์ชั่นสุดท้ายน่าจะเป็น Star Trek Nemesis ที่ออกฉายเมื่อปี 2002 ซึ่งไม่เป็นที่จดจำของเหล่าสาวกเทรคกี้สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น โจทย์ใหญ่ของผู้กำกับเจเจ อับรามส์ ในการนำ Star Trek กลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้งในเที่ยวนี้ก็คือ เขาจะทำอย่างไรให้ผลงานไซไฟระดับขึ้นหิ้งเรื่องนี้กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ ชมให้จงได้ และสิ่งที่ อับรามส์ เลือกทำก็คือ การพาทุกคนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง คล้ายๆ กับที่ Batman, Superman หรือล่าสุดกับ X-Men Origins : Wolverine ที่เพิ่งผ่านสายตาใครหลายๆ คนไปหมาดๆ เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้ เรื่องราวของ Star Trek เวอร์ชั่น 2009 เริ่มต้นที่ ยานยูเอสเอสเควิน ซึ่งมี จอร์จ ไทบีเรียส เคิร์ก เป็นกัปตันได้เพียง 12 นาที ถูกทำลายจนย่อยยับโดยเรโร กัปตันเรือชาวโรมูลัน ผู้ซึ่งจมปลักอยู่กับความแค้นแบบหน้ามืดตามัว ระหว่างที่ยานระเบิดนั้นเอง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ เจมส์ ที เคิร์ก ลืมตาดูโลก อีกหลายปีต่อมาเขาเติบโตกลายเป็นหนุ่มรักสนุก หัวดื้อ และไม่ยอมใครง่ายๆ อีกด้านหนึ่ง สป็อค เด็กลูกครึ่งผู้มีพ่อเป็นชาววัลแคนแต่มีแม่เป็นมนุษย์ ก็กำลังสับสนกับเกี่ยวชาติพันธุ์ของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้เขาได้รับคัดเลือกเข้าเรียนในสถาบันสตาร์ฟลีท ที่นั่นสป็อคได้พบกับเคิร์กซึ่งเป็นคนแรกที่สามารถแก้โจทย์ที่เขาคิดขึ้นได้สำเร็จ แต่เคิร์กก็ถูกกล่าวหาว่าโกงข้อสอบ และระหว่างที่กำลังจะพิจารณาลงโทษเคิร์กอยู่นั้น ก็มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับดาววัลแคน จนต้องนำยานเอนเตอร์ไพรส์ออกไปให้ความช่วยเหลือ และนี่คือภารกิจแรกที่สป็อคกับเคิร์กต้องทำร่วมกัน (ถึงแม้จะไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไรนัก) ซึ่งเราคงต้องปรบมือดังๆ ให้กับ เจเจ อับรามส์ ที่สามารถปรับแต่งเรื่องราวของ Star Trek ที่เคยดำเนินเรื่องแบบราบเรียบ บางครั้งถึงขึ้นเนิบนาบ ชวนน่าเบื่อ ให้กลายเป็นหนังไซไฟที่เดินเรื่องอย่างกระชับ ฉับไว น่าติดตาม ที่สำคัญ การมีฉากแอ็คชั่นมันๆ ตื่นเต้นๆ ให้ได้ลุ้นเกือบตลอดนั้น น่าจะทำให้ทั้งแฟนเก่า และแฟนใหม่ที่ไม่ค่อยรู้จัก Star Trek มากนัก ไม่รู้สึกว่า นี่คือหนังยานอวกาศ ที่ชวนง่วง หรือเชยสะบัด อีกต่อไป อับรามส์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเคยดูซีรีส์ Star Trek มาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นแฟนตัวยงอะไรมากมาย นั่นแสดงว่า เขาคงต้องทำการบ้านมาอย่างหนัก ถึงสามารถทำให้ Star Trek ในเวอร์ชั่นของเขา ดูมีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง สดใหม่ และร่วมสมัย ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงซึ่งเอกลักษณ์เดิมๆ ที่มีมาแต่ไหนแต่ไรของ Star Trek เอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นชุดยูนิฟอร์ม, ทรงผม, บุคลิกเด่นๆ ของตัวละครต่างๆ ไปจนถึงมุขตลกที่เอาความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของลูกเรือในยานเอนเตอร์ไพรส์ มาเล่นได้อย่างมีเสน่ห์ ซึ่งส่วนนี้คงต้องชมไปถึงทีมเขียนบทอย่างโรเบอร์โต ออร์ซี่ และอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมน (สองคนนี้เคยเขียนบทร่วมกันมาแล้วใน Transformers และ Mission : Impossible III) ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละครเอกทั้งสองในเรื่องนั่นก็คือ เจมส์ ที เคิร์ก หนุ่มเลือดร้อน นิสัยหุนหันผันแล่น ผู้ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ กับ สป็อค หนุ่มที่มีเชื้อสายชาววัลแคนและมนุษย์อยู่อย่างละครึ่ง ผู้พยายามใช้ตรรกะมากกว่าอารมณ์ในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ด้วยนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของทั้งคู่ ทำให้เราคิดในตอนแรกๆ ว่าพวกเขาไม่น่าจะร่วมทีมกันได้ แต่หนังก็ค่อยๆ เผยให้เราเห็นว่า ทำไม หนุ่มที่นิสัยแตกต่างกันสุดขั้วอย่าง เคิร์ก และ สป็อค ถึงกลายเป็นคู่หูที่ลงตัวได้ในที่สุด นี่คือหนังแอ็คชั่นไซไฟที่ถึงพร้อมด้วยความบันเทิงและดูสนุกมากๆ เรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ Star Trek มาก่อนเลยก็ตาม!
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment